การเสริมวิตามิน ให้ได้ประโยชนือย่างแท้จริงต้องทำอย่างไร
การเสริมวิตามิน การทานวิตามินเสริม ถือเป็น Trend ของคนรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าการทานวิตามินเสริมนั้นจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รวมถึงเรื่องของการช่วยให้ผิวพรรณสวย ขาวใส ดูเต่งตึง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการรับประทานวิตามินเสริมอย่างถูกวิธีและไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายหรือผลข้างเคียงแก่ร่างกาย เรามาทำความรู้จักกับเจ้าวิตามินเหล่านี้กันดีกว่า
Vitamin แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามิน B วิตามิน C ซึ่งเมื่อรับประทานมากเกินไป เกินความจำเป็นของร่างกายร่างกายก็จะขับออกมาเอง ไม่สะสมไว้ วิตามินซี การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป ถึงแม้ว่าร่างกายสามารถขับออกไปเองได้ การเสริมวิตามิน
แต่การรับประทานมากเกินไปจะตกตะกอนที่ไต จนอาจมีโอกาสเกิด Kidney stones ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายต้องการวิตามินซีเพียงแค่ 10-15 มิลลิกรัมเท่านั้น หากรับประทานวิตามินซีเกินความจำเป็นของร่างกาย เมื่อปัสสาวะออกมาจะมีลักษณะสีเหลืองเข้มหรือเหลืองส้ม วิตามินบี ร่างกายสามารถได้รับจากอาหารจำพวกนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ หรือจมูกข้าว
สำหรับคนที่ทานมังสวิรัติและทานเจอย่างเคร่งครัดจะขาดวิตามิน B และ B12 จึงแนะนำการเสริมวิตามิน กลุ่มที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A, D, E, K วิตามินกลุ่มนี้มีข้อด้อยคือ สะสมในร่างกาย และมีผลต่อตับกับสมอง
Vitamin a เราสามารถได้รับวิตามินเอจากการรับประทานอาหารจำพวกฟักทอง มะละกอ แครอท หรือผักสีเข้ม แต่การรับประทานมากเกินไป อาจมีผลต่อร่างกายได้ การรับประทานวิตามินรวม บางครั้งก็อาจจะทำให้เราได้รับวิตามิน บางชนิดมากเกินความจำเป็นโดยไม่รู้ตัว และอาจกลายเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น การรับประทานวิตามินเอมากเกินไป จะมีผลต่อตับและสมอง รวมทั้ง มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
Vitamin d เป็นวิตามินที่ได้รับจากการสัมผัสกับแสงแดด เพียง 10 นาทีที่สัมผัสก็ทำให้ได้รับวิตามินแล้ว วิตามินอี มักอยู่ในเมล็ดของพืช เช่น ผลอโวคาโด ช่วยในเรื่องผิวพรรณ ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่ม
วิตามินเค ร่างกายสามารถสร้างเองได้จากแบคทีเรียในลำไส้ ยกเว้น การรับประทานยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะทำให้แบคทีเรียในลำไส้ตาย
ดังนั้น การรับประทานยาฆ่าเชื้อเป็นเวลานาน แพทย์จะสั่ง Vitamin k เพิ่มให้ในกลุ่มผู้ที่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอาหารไม่ครบ 5 หมู่ เช่น ไม่ทานผักผลไม้ คนไข้มีโรคหลอดเลือดสมองและต้องได้รับอาหารผ่านทางสาย ในกลุ่มที่ทานมังสวิรัติและทานเจอย่างเคร่งครัด การรับประทานวิตามินนั้นได้ประโยชน์อย่างแน่นอน แต่โดยหลักแล้ว เพียงแค่รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอสำหรับการรับสารอาหารอย่างวิตามินแล้ว
วิตามินอี ดีต่อสุขภาพและความงาม
วิตามินอี เป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายในด้านสุขภาพ อีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านความงาม และเพื่อการเสริมวิตามินอีที่ถูกต้องเหมาะสม จึงควรทำความเข้าใจให้มากขึ้น เกี่ยวกับความต้องการวิตามินอีในร่างกาย และการรับประทานอาหารเสริมวิตามินอีที่เพียงพอ รวมถึงประโยชน์ของวิตามินอีในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ ยา อาหาร และเครื่องสำอาง
รู้จักกับวิตามินอี
วิตามินอี เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ประโยชน์ของวิตามินอีคือป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการอักเสบ
รูปแบบของวิตามิน
มีความหลากหลายมาก อาทิ ยาน้ำ แคปซูลชนิดนิ่ม Ttmtprosport อาหารทางการแพทย์ นมทางการแพทย์ วิตามินรวมซึ่งมีวิตามินอีประกอบอยู่ด้วย ครีมทาผิว โลชั่นบำรุงผิว และอื่น ๆ นอกจากนี้วิตามินอียังมีอยู่ในอาหารธรรมชาติ โดยเฉพาะในผักและผลไม้
ความต้องการวิตามินอีของร่างกาย การเสริมวิตามิน
- ร่างกายคนทั่วไปต้องการวิตามินอีวันละ 10 IU
- หากเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดวิตามินอี
- ในบางรายอาจต้องการวิตามินอีมากกว่าคนทั่วไป เช่น คนที่มีปัญหาการดูดซึมวิตามินอี เป็นต้น
วิตามินอีมีอยู่ในอาหารชนิดใดบ้าง
วิตามินอี สามารถหาได้จากอาหารธรรมชาติหลายอย่าง เช่น ไข่ พืช ผัก ผลไม้ อาหารจำพวกถั่ว นอกจากนี้ยังมีอยู่ในน้ำมันที่มีส่วนผสมของถั่ว อาทิ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอี
- วิตามินอีในรูปแบบยา ช่วยรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคขาดวิตามินอีในเด็ก ไปจนถึงโรคที่มีการนำวิตามินอีไปใช้นอกข้อบ่งใช้หลัก เช่น โรคปวดปลายประสาทจากการติดเชื้องูสวัด และโรคอัลไซเมอร์
- วิตามินอีในรูปแบบอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใช้เป็นสารกันหืนในอาหาร และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย
- วิตามินอีในรูปแบบเครื่องสำอาง ใช้เป็นครีมบำรุงผิว เป็นสารกันหืน สารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เนื่องจากวิตามินอีสามารถกรองรังสี UVB ได้
ข้อควรระวัง
หากมีโรคประจำตัวที่มียาทานประจำอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้งว่าสามารถทานวิตามินอีเพื่อเป็นการเสริมอาหารได้หรือไม่ เพื่อตรวจสอบว่ายาที่รับประทานอยู่เดิมกับวิตามินอีนั้นมีอันตรกิริยาต่อกันหรือไม่ ทั้งนี้ยกตัวอย่างเช่น ยาบางกลุ่มอาจเกิด “ยาตีกัน” กับวิตามินอีได้ เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านไวรัส ยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิเป็นต้น ซึ่งผลที่ตามมาอาจทำให้ยาที่ใช้อยู่ไม่ได้ผล เกิดอาการเลือดออกผิดปกติ หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ได้
บำรุงผิวด้วยวิตามินอีแบบกินและแบบทา
- วิตามินอีแบบกินเริ่มบำรุงผิวหลังกินไป 7-10 วัน
- วิตามินอีแบบทาทำปฏิกิริยากับผิวทันที แต่ซึมลงบนผิวหนังชั้นบนเท่านั้น ไม่ซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก
- สามารถบำรุงผิวด้วยวิตามินอีทั้งแบบกินและทาควบคู่กันได้
อาการของคนที่ขาดวิตามินอี
อาการที่สังเกตได้คือเรื่องประสาทการรับสัมผัส ผู้ที่ขาดวิตามินอีจะรู้สึกชา ส่วนอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากการขาดวิตามินอี ได้แก่ ความผิดปกติทางระบบประสาท ระบบเลือด ระบบสืบพันธุ์
อาการของคนที่ได้รับวิตามินอีมากเกินไป
โดยปกติร่างกายคนเราจะสามารถทนกับวิตามินอีได้ค่อนข้างสูง และจะได้รับผลข้างเคียงเมื่อรับวิตามินอีที่ 800 IU อาการแสดงคือคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย มึนงง
การเก็บรักษาวิตามินอี
- เก็บอาหารเสริมไว้ในภาชนะกันแสง การชดเชยแร่ธาตุ หลีกเลี่ยงที่ร้อนชื้นและที่เย็นจัด หากนำไว้ในตู้เย็นใต้ช่องฟรีซจะทำให้เสื่อมเร็ว
- วิตามินอีในผักผลไม้ หากนำไปปรุงสุกจะทำลายวิตามินอีให้เหลือน้อยลง รวมถึงการนำผลไม้ไปแช่แข็งก็เช่นกัน ทำให้วิตามินอีมีน้อยกว่าในผลไม้สด
วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น
- วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันกันสันดาปของเซลล์ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ตาบอดเฉียบพลัน
- ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%
- ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรก จะช่วยให้ลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น
- ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ
- ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย
- เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี เวย์ โปรตีน TMT จึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน
- บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เป็นต้น
แหล่งของวิตามิน C ได้แก่ ผัก ผลไม้ เช่น พลัม อซีโลรา กูสแบรี่ แบลคเคอเรนท์ บลอคเคอรี่ พริกหวาน โขม กะหล่ำดอก ในเนื้อสัตว์ และตับสัตว์ ก็เป็นแหล่งวิตามิน C เช่นกัน การปรุงอาหารมีความสำคัญต่อคุณค่าวิตามิน C เพราะจะลดปริมาณวิตามิน C ได้ถึง 60% ดังนั้น การชดเชยแร่ธาตุ ไม่ควรปรุงอาหารจนสุกเกินไป การลวกผัก วิตามิน C จะละลายออกมาอยู่ในน้ำลวกผัก ค่อนข้างสูง เช่นกัน ดีที่สุดคือ ผัก ผลไม้สดที่ไม่สุก เก็บมาใหม่ๆ จะมีปริมาณสูงที่สุด และการเก็บรักษาที่ดีที่สุด คือ แช่เย็น เพราะการอบแห้ง ดอง เชื่อม ทำให้ปริมาณวิตามินลดลงเช่นกัน
ข้อห้าม : ผลข้างเคียงของวิตามิน C การทานขนาดสูงมากกว่า 1000 mg อาจจะทำให้เกิดท้องเสีย และทานตอนท้องว่าง จะเกิดการระคายเคือง ทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรด อาจจะเกิดอาการท้องอืด เฟ้อ บางครั้งถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว และแน่นอนเนื่องจากวิตามิน C ขับทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมีสภาพเป็นกรด ดังนั้น จึงเพิ่มโอกาสเกิดการตกตะกอนของผลึก ต่างๆ กลายเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้ทานวิตามิน C พร้อมดื่มน้ำมากๆ